สำหรับการลงทุนผ่านกองทุนส่วนบุคคลในตลาดต่างประเทศนั้น จะเสียภาษีเสมือนนักลงทุนไปลงทุนต่างประเทศด้วยตนเอง ส่วนของภาษีจะแตกต่างกันตามประเทศที่ลงทุน ดังนี้
1. ในฐานะบุคคลที่ไม่ได้พำนักอาศัยอยู่ในประเทศที่เข้าไปลงทุน คุณจะต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย เงินปันผล ตามนโยบายของประเทศนั้น ๆ โดยส่วนที่เหลือจะนำมาลงทุนต่อให้ โดยแต่ละประเทศมีภาษีหัก ณ ที่จ่ายดังนี้
2. ส่วนของกำไรจากการลงทุน (เงินได้จากการลงทุนหรือรายได้พึงประเมิน) หากแจ้งขายและนำเงินเข้าประเทศ จะต้องนำเงินได้ส่วนนั้นมาคำนวณกับเงินได้ส่วนบุคคล เสียภาษีเท่าไรจะขึ้นอยู่กับฐานภาษีของคุณ โดยมีเกณฑ์ดังนี้
กรมสรรพากรมีประกาศเกี่ยวกับภาษีเงินได้ต่างประเทศ (คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.161 และ ป.162) และมีคำถาม – คำตอบ เรื่อง การเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร โดยมีใจความสำคัญที่เกี่ยวกับนักลงทุน Jitta Wealth เพื่อทำความเข้าใจดังนี้
2.1 เกณฑ์กำหนดว่า
เงินได้จากการลงทุน ต่างประเทศก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 จะใช้เกณฑ์เดิม คือเงินได้จากการลงทุนที่เกิดขึ้นในปี 2566 หรือก่อนหน้า สามารถนำกลับประเทศไทยในปี 2567 เป็นต้นไป โดยไม่ต้องยื่นเสียภาษี
เงินได้จากการลงทุน ต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป ในส่วนที่มากกว่าเงินต้นที่โอนออกไป เมื่อนำกลับเข้ามาในประเทศไทย (ไม่ว่าจะปีภาษีใดก็ตาม) จะต้องนำไปยื่นภาษี แต่ทั้งนี้หากถอนเงินและนำเงินไปลงทุนต่อโดยไม่นำเงินกลับเข้าไทย ผู้ลงทุนไม่มีภาระที่ต้องเสียภาษี
2.2 เงินได้จากการลงทุน ให้รวมถึง กำไรส่วนต่างราคาหุ้นจากการขาย เงินปันผลที่เกิดขึ้นในพอร์ตการลงทุนและส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน(ถ้ามี) นับเป็นเงินได้พึงประเมินแล้ว (Realized gain) ดังนั้นในกรณีที่มีการขายหุ้นทำกำไรไปแล้ว ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 จะถือว่า กำไรในส่วนนั้นเป็นเงินได้จากการลงทุนที่ไม่จำเป็นจะต้องเสียภาษี ถ้าหากนำเงินนั้นกลับเข้ามาในปี 2567 เป็นต้นไป
เช่น ถ้าหากเรามีการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ 1,000,000 บาท ในปี 2565 ต่อมาในเดือนธันวาคม 2566 หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 1,200,000 บาท เราทำการขายหุ้นทั้งหมดออก ทำให้เรามีเงินได้จากการลงทุน 200,000 บาท ในปี 2566 ซึ่งเงินได้นี้จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี เมื่อเรานำเงินนี้กลับเข้ามาในประเทศในปี 2567 เป็นต้นไป
2.3 เงินต้นและกำไร อ้างอิงจากกรมสรรพากร กำไรคือส่วนเกินจากเงินต้นที่โอนออกไปลงทุน ดังนั้นหากลูกค้าโอนเงินออกไปลงทุน 1 ล้านบาท เงินได้ที่โอนกลับเข้าไทยที่เกินจากต้นทุน 1 ล้านบาทจะถูกนับเป็นกำไรที่ต้องนำมายื่นเป็นรายได้
เช่น ถ้าหากเรามีการโอนเงินออกไปลงทุนต่างประเทศ 1,000,000 บาท หลังจากวันที่ 1 มกราคม 2567 และ เงินลงทุนเติบโตขึ้นเป็น 1,200,000 บาท เมื่อราทำการโอนเงินทั้งหมดกลับเข้ามาในประเทศไทย เงิน 1,000,000 บาทแรกจะถือเป็นเงินต้น ไม่ถือเป็นเงินได้ จึงไม่จำเป็นต้องเสียภาษี ส่วนเงิน 200,000 บาท จะถือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมาเสียภาษี
ดังนั้น สำหรับนักลงทุน Jitta Wealth ที่มีการลงทุนก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 จะมีแนวทางจัดการภาษีดังนี้
กรณีที่ 1: พอร์ตการลงทุนมีกำไร
ตัวอย่าง: นาย A เริ่มลงทุนใน Jitta Ranking - US เป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาท ในปี 2563 และพอร์ตการลงทุนเติบโตขึ้นเป็น 2,000,000 บาท ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2566 โดยในตลอดระยะเวลาที่ลงทุนมานั้น Jitta Wealth จะปรับพอร์ตการลงทุนทุกๆ 3 เดือน เมื่อมีกำไรจากการขายหุ้นหรือปันผล ก็จะนำเงินนั้นไปลงทุนซื้อหุ้นใหม่ต่อไปเรื่อยๆ
ซึ่งพอร์ตของนาย A ปรับพอร์ตครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2566 ทำให้ ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน พอร์ตการลงทุนของนาย A มีหุ้นอยู่ 10 หุ้น โดยมีหุ้นที่กำไรอยู่ 7 หุ้น รวมเป็นเงินกำไร 100,000 บาท
ดังนั้น จากเกณฑ์การคิดภาษีแบบใหม่ นาย A จะมีภาระทางภาษี ในกรณีที่โอนเงินเข้ามาหลังวันที่ 1 มกราคม 2567 ดังนี้
เงินต้นที่โอนออกไปลงทุน 1,000,000 บาท → ไม่เสียภาษี
กำไรที่เกิดขึ้นจากการขายหุ้น (Realized gain) ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 จำนวน 900,000 บาท → ไม่เสียภาษี
กำไรที่ยังไม่รับรู้จำนวน 100,000 บาท → ยังไม่ถือเป็นรายได้พึงประเมินจนกว่าจะมีการขายเกิดขึ้น
โดยสรุป นาย A สามารถลงทุนต่อไปเรื่อยๆได้อย่างสบายใจ และ หลังวันที่ 1 มกราคม 2567 นาย A สามารถถอนเงินลงทุนกลับมาได้ 1,900,000 บาท โดยที่ไม่เสียภาษี โดยจะโอนเงินจำนวนนี้กลับมาในประเทศไทยครั้งเดียวเลย หรือ หลายๆครั้งก็ได้
ส่วนกำไรที่ยังไม่รับรู้จำนวน 100,000 บาทนั้น ต้องไปดู ณ วันที่ขายอีกทีว่า จะมีกำไรขาดทุนเท่าไหร่ จึงจะค่อยนำมาคำนวณ เงินได้พึงประเมิน เพื่อเสียภาษี ในกรณีที่มีการนำเงินจำนวนนี้กลับเข้ามาในประเทศไทย หลัง 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป
กรณีที่ 2 : พอร์ตการลงทุนขาดทุน
ตัวอย่าง: นาย B เริ่มลงทุนใน Thematic Optimize เป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาท ในปี 2564 และพอร์ตการลงทุนขาดทุนจากการที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีตกอย่างหนักในปี 2565 ทำให้ปัจจุบันพอร์ตการลงทุนของนาย B มีมูลค่า 800,000 บาท ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2566
ดังนั้น ปัจจุบันนาย B ยังไม่มีเงินได้จากการลงทุนต่างประเทศ เนื่องจากเงินลงทุนในปัจจุบันน้อยกว่า เงินต้น ที่โอนออกไปลงทุนอยู่ 200,000 บาท
ถ้าหากนาย B ลงทุนต่อไปเรื่อยๆ นาย B จะมีภาระทางภาษีก็ต่อเมื่อ พอร์ตการลงทุนกลับมาเติบโตมากกว่าเงินต้น 1,000,000 บาท และขายเงินลงทุนและนำเงินกลับเข้ามาในประเทศไทยหลังวันที่ 1 มกราคม 2567 จึงจะเสียภาษีในส่วนเงินกำไรที่เกิน 1,000,000 บาท
แต่ถ้าหากนาย B ทำการขายและโอนเงินกลับเข้ามาในประเทศไทยในปี 2566 จำนวน 800,000 บาท แม้ว่าจะไม่เสียภาษี แต่เมื่อไหร่ที่นาย B ทำการโอนเงินจำนวน 800,000 บาทนี้ กลับไปลงทุนในต่างประเทศใหม่อีกครั้ง จะถือว่าเงินต้นที่โอนออกไปลงทุนใหม่คือ 800,000 บาท ถ้าหากว่าพอร์ตเติบโตขึ้น นาย B จะเสียภาษีในส่วนที่เกิน 800,000 บาททันที เมื่อทำการขายเงินลงทุนและนำเงินกลับเข้ามาในประเทศไทยหลังวันที่ 1 มกราคม 2567
ดังนั้นจะเห็นว่าสำหรับนักลงทุนที่ตั้งใจจะลงทุนในต่างประเทศระยะยาวอยู่แล้ว ในพอร์ตการลงทุนที่ยังขาดทุนอยู่ เราไม่ควรที่จะถอนเงินกลับเข้ามาในประเทศไทยในปีนี้ แล้วโอนออกไปลงทุนต่างประเทศใหม่ในอนาคต เพราะการทำแบบนั้นจะทำให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของเราลดลง เทียบกับ การที่เราลงทุนต่อไปในต่างประเทศ จะในประเทศเดิม หรือ ประเทศใหม่ก็ได้ จะทำให้เราได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีมากกว่า
ทั้งนี้ หากกรมสรรพากรมีประกาศใหม่ในอนาคต อาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือมีผลกระทบกับรายละเอียดข้างต้นได้ จึงแนะนำติดตามการอัปเดตจาก Jitta Wealth และ การประกาศจากกรมสรรพากรอย่างใกล้ชิด
โดยทาง Jitta Wealth ขอให้นักลงทุนทุกคนมีความเชื่อมั่นและสบายใจในเรื่องนี้ ไม่ว่าในอนาคตจะมีปรับปรับเปลี่ยนเกณฑ์ต่างๆไปอย่างไร เราพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างนักลงทุน เพื่อคอยอัพเดทและนำเสนอแนวทางจัดการภาษีจากการลงทุนต่าง ๆ ให้ถูกต้อง และ เป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับนักลงทุนเสมอครับ
หมายเหตุ:
1.รายละเอียดข้างต้นเป็นการตีความจากประกาศและคำสั่งของ กรมสรรพากรเท่านั้น บลจ.จิตตะ เวลธ์ จำกัด ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีโดยตรง หากมีคำถามสามารถติดต่อกรมสรรพากรในพื้นที่ของท่าน หรือ โทร 1161
2.สามารถดูรายละเอียดคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.161 และ ป.162 จากลิงก์ด้านล่างนี้
2.1 คำสั่งของกรมสรรพากร ป.161 ณ 15 กันยายน 2566 ที่นี่
2.2 คำสั่งของกรมสรรพากร ป.162 ณ 20 พฤศจิกายน 2566 ที่นี่
2.3 ถาม-ตอบ เรื่อง การเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่นี่
ข้อมูลอัปเดต ณ 1 มกราคม 2567