การเลือกลงทุนในประเทศใดนั้น ขึ้นอยู่ว่านักลงทุนมีความรู้และเข้าใจสภาวะตลาด และสามารถรับความเสี่ยงได้มากเพียงใด เพราะตลาดในประเทศต่างๆ ก็มีจุดแข็งและจุดด้อยแตกต่างกันไป เช่น ตลาดสหรัฐฯ ประกอบไปด้วยหุ้นจำนวนกว่า 4,700 ตัว และมีธุรกิจที่แข็งแกร่งระดับคะแนน Jitta Score 8-9 เยอะกว่าตลาดอื่นๆ นอกจากนี้หลายๆ ธุรกิจก็มีความสามารถขยายฐานลูกค้าไปได้ทั่วโลก ทำให้หุ้นดีมีมากและราคาถูกให้เลือกเยอะกว่าตลาดอื่นๆ (ดูอันดับหุ้นดีราคาถูกของสหรัฐฯ จาก Jitta.com)
แต่หากดูตามอัตราส่วนที่ใช้วัดกันว่าตลาดไหนน่าลงทุนมากกว่ากัน หรือที่เรียกว่า Buffett Indicator คือเอามูลค่าตลาดโดยรวมหารด้วย GDP ของประเทศ (market capitalization/GDP) จะพบว่ามูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ณ สิ้นปีพ.ศ. 2562 สูงถึง 137.8%* ของ GDP หมายความว่าตลาดแพงเกินไปมาก ในขณะที่ประเทศเวียดนามอยู่ที่ 54.3% ซึ่งค่อนข้างถูก และไทยที่ 99.9% ซึ่งยังสามารถเติบโตได้อีก หากดูตามเกณฑ์นี้ ก็อาจจะพูดได้ว่าประเทศเวียดนามนั้นน่าลงทุนที่สุด เพราะตลาดยังถูกอยู่ และมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก (ดูอันดับหุ้นดีราคาถูกเวียดนาม)
(*Buffett Indicator ของตลาดสหรัฐอเมริกา อัปเดตล่าสุด ณวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2563 อยู่ที่ 113.6% ของ GDP หมายความว่าตลาดแพงนิดๆ)
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดเวียดนามจะเติบโตไปในทุกด้าน แต่การลงทุนก็ยังมีความผันผวนค่อนข้างสูง กฎระเบียบบางอย่างยังไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อการลงทุนมากนัก การซื้อขายหุ้นของต่างชาติยังทำได้จำกัด เพราะมี foreign limit หุ้นหลายตัวยังขาดสภาพคล่อง ค่าเงินก็ผันผวนค่อนข้างเยอะ อีกทั้งเศรษฐกิจมีการขับเคลื่อนโดยเงินลงทุนต่างชาติเป็นหลัก หากคุณสนใจการลงทุนในประเทศเวียดนาม ลองศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับตลาดเวียดนามได้จากคลิป The Jitta Way Live นี้